
คำว่าเชาว์นปัญญามีผู้เรียกแตกต่างกันไปเช่น ภูมิปัญญา สติปัญญาหรือไอคิว (I.Q.) ในปัจจุบันเรื่องนี้เป็นที่สนใจกันอย่างกว้างขวางเรามาดูกันซิว่าคืออะไร
เชาวน์ปัญญา
หมายถึงความสามารถของบุคคลในการเรียนรู้ การปรับตัวต่อปัญหาอย่างเหมาะสมและความสามารถในอันที่จะทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างมีจุดมุ่งหมายและมีคุณค่าทางสังคม สามารถคิดอย่างมีเหตุผลสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ
พัฒนาการของเชาวน์ปัญญา
เชาวน์ปัญญาเป็นสิ่งที่บุคคลแต่ละคนมีติดตัวมาแต่กำเนิดและพัฒนาสมบูรณ์ยิ่งขึ้นตามระดับอายุและสิ่งแวดล้อมเชาวน์ปัญญาของแต่ละคนจะมีลักษณะที่สูงต่ำไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ หลายอย่าง เช่น
- พันธุ์กรรม พันธุ์กรรมที่ได้รับการถ่ายทอดสืบต่อมาจากพ่อแม่ คนเราจะมีเชาวน์ปัญญาดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับพันธุ์กรรม 80% สิ่งแวดล้อม 20%
- ความสมบูรณ์ของสมองและระบบประสาท
- สิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมที่ช่วยกระตุ้น และส่งเสริมให้บุคคลได้มีโอกาสเรียนรู้เช่น พ่อแม่ที่เอาใจใส่พูดคุยกับลูก ลูกจะเรียนได้ดีและช่วยให้มีเชาวน์ปัญญาดี การให้ความรักและความอบอุ่น การยอมรับ การเลี้ยงดูอย่างมีเหตุผลที่เหมาะสม มีผลต่อสุขภาพจิตดีและมีอิทธิพลต่อเชาวน์ปัญญา เมื่อเด็กได้รับการตอบสนองความต้องการขั้นมูลฐานดังกล่าวแล้วเขาก็พร้อมที่จะพัฒนาความสามารถของเขาอย่างเต็มที่ ถ้าพ่อแม่เลี้ยงดูลูกแบบทนุถนอมปกป้องเหมือนไข่ในหินจะทำให้พัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของเด็กช้าลงการมีหนังสือดีๆให้อ่านตามความเหมาะสมของแต่ละวัยจะช่วยในการพัฒนาเชาวน์ปัญญา การท่องเที่ยว ชมสถานที่น่าสนใจ จะเป็นสิ่งกระตุ้นพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาในด้านต่างๆ ช่วยให้เด็กรู้จักคิด สังเกตและแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม
- อายุ ระดับอายุที่พัฒนาการของเชาวน์ปัญญาถึงขั้นสูงสุดคือระหว่างอายุ 15-25 ปี เชาวน์ปัญญาเมื่อพัฒนาถึงขั้นสูงสุดจะค่อยๆเสื่อมลงตามวัยแต่มีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป แทบสังเกตไม่ได้ การเสื่อมของเชาวน์ปัญญาในแต่ละด้านอาจเสื่อมเร็วและช้าไม่เท่ากัน
- เพศ เพศชายมักมีความสามารถทางด้านการคำนวณ ถนัดทางกลไกการกระทำที่ใช้ไหวพริบ และความรวดเร็วดีกว่าหญิง ส่วนเพศหญิงมักมีความคล่องแคล่วในการใช้มือ งานที่ต้องใช้ฝีมือ ลายละเอียด การใช้ภาษาความสามารถทางภาษา ความจำ
- เชื้อชาติ เด็กลูกผสมมักจะมีเชาวน์ปัญญาสูงกว่าเด็กที่ไม่ใช่ลูกผสม
- ความผิดปกติทางสมอง ความผิดปกติทางสมองอาจมีผลต่อการเสื่อมลงของเชาวน์ปัญญา ก่อนเวลาอันสมควร เช่นเนื้องอกในสมอง ลมชัก สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
ระดับเชาวน์ปัญญา
การจัดระดับเชาวน์ปัญญาเป็นเพียงการแสดงการเปรียบเทียบให้ทราบว่าบุคคลหนึ่งมีความสามารถอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยสูงกว่าหรือต่ำกว่าระดับอายุเมื่อเทียบกับบุคคลที่อยู่ในระดับอายุเดียวกัน
ระดับเชาวน์ปัญญาได้จากคะแนนที่มาจากการทดสอบเชาวน์ปัญญาด้วยแบบทดสอบเชาวน์ปัญญาซึ่งมีอยู่หลายชนิดเพื่อให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมกับผู้รับการทดสอบ มีทั้งแบบทดสอบเพื่อดูความสามารถพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งและความสามารถทั่วไปหลายๆด้านรวมกัน
ผลการทดสอบอาจให้คะแนนเป็นตัวเลข เช่น ไอคิวหรือคะแนนที่มีความหมายบอกระดับความสามารถ เช่น เกรด และอายุสมอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีคำนวณหาค่าที่แสดงถึงระดับเชาวน์ปัญญาซึ่งแตกต่างกันไปในทางทดสอบแต่ละแบบ
ไอคิว
เป็นตัวเลขที่ได้จากการทดสอบเชาวน์ปัญญากับคะแนนเฉลี่ยที่คาดว่าผู้ถูกทดสอบสมควรจะทำได้ ตามระดับอายุที่แท้จริง วิธีคำนวณค่าไอคิวในการทดสอบเชาวน์ปัญญาแต่ละแบบขึ้นอยู่กับลักษณะแบบทดสอบและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ฉะนั้นไอคิวจะเป็นเครื่องแสดงให้ทราบว่าบุคคลนั้นมีระดับเชาวน์ปัญญาอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลอื่นในระดับอายุเดียวกัน
เชาวน์ปัญญาของคนเราจะเพิ่มขึ้นตามวัยในเรื่องของคุณภาพทั้งนี้เนื่องจากเรามีโอกาสได้เรียนรู้กิจกรรมและแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆทำให้มีประสบการณ์มากขึ้น แต่เมื่อทดสอบเชาวน์ปัญญาคะแนนที่ได้เพิ่มขึ้นจะต้องนำไปเปรียบเทียบกับอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย
ตัวแปรบางอย่างมีอิทธิพลทำให้ผลการทดสอบเชาวน์ปัญญาหรือค่าของไอคิวในการทดสอบเชาวน์ปัญญาแต่ละครั้งคลาดเคลื่อนเปลี่ยนแปลงหรือไม่คงที่ ตัวแปรดังกล่าวอาจมีได้หลายประการเช่นในระหว่างการทดสอบมีสาเหตุที่ทำให้ผู้ถูกทดสอบใช้ความสามารถได้ไม่เต็มที่จากการที่มีอาการเจ็บป่วยทางกายหรือทางจิต อารมณ์เครียด ขาดแรงจูงใจและไม่มีสมาธิในการทดสอบขาดความชำนาญในการทดสอบหรือใช้แบบทดสอบไม่ถูกต้องเป็นต้น
เชาวน์ปัญญา เป็นสิ่งที่สามารถกระตุ้น ส่งเสริมให้พัฒนาได้ถ้าพ่อแม่มีความเข้าใจเด็กและช่วยกระตุ้นส่งเสริมพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของเด็กอย่างถูกต้องและเหมาะสมก็จะช่วยให้เด็กได้พัฒนาเชาวน์ปัญญาของเขาเท่าที่มีอยู่อย่างเต็มที่
ระดับเชาวน์ปัญญากับความสามารถรับการศึกษาประกอบอาชีพและการปรับตัว
130 ขึ้นไป | ฉลาดมาก | เป็นไอคิวเฉลี่ยของผู้สามารถเรียนในระดับปริญญาเอก |
120-129 | ฉลาด | เป็นไอคิวเฉลี่ยของผู้สามารถเรียนในระดับปริญญาโท |
110-119 | สูงกว่าปกติหรือค่อนข้างฉลาด | เป็นไอคิวเฉลี่ยของผู้สามารถเรียนในระดับปริญญาตรี หรือมีโอกาส จบมหาวิทยาลัยได้ |
90-109 | ปกติหรือปานกลาง | เป็นไอคิวเฉลี่ยของประชากรปกติ ส่วนใหญ่มีความสามารถปานกลางเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลายได้ |
80-89 | ต่ำกว่าปกติหรือปัญญาทึบ | เชาวน์ปัญญาต่ำที่สามารถรับการศึกษาพิเศษสำหรับเด็กเรียนช้าๆ |
70-79 | ระดับเชาวน์ปัญญาก้ำกึ่ง | ระหว่างปัญญาทึบกับปัญญาอ่อน และประกอบอาชีพประเภทช่างฝีมือได้ |
50-69 | ปัญญาอ่อนเล็กน้อย |
มีความสามารถเทียบเท่ากับเด็กอายุ 7-10 ปี
อาจพอรับรู้การศึกษาได้ ในระดับประถมต้น ป.1-ป.4 โดยเรียนอยู่ในชั้นเรียนพิเศษในโรงเรียน การศึกษาพิเศษเฉพาะ
ประกอบอาชีพที่ไม่ต้องความรับผิดชอบสูง หรืองาน ประเภทช่างฝีมือง่ายๆ
|
35-49 | ปัญญาอ่อนปานกลาง |
มีความสามารถเทียบเท่ากับเด็ก อายุ 4-7 ปี
อาจอ่านเขียนได้เล็กน้อย แต่เรียนรู้ได้ช้า ไม่สามารถเรียน ในโรงเรียนปกติได้ควรเรียน ในโรงเรียนการศึกษาพิเศษเฉพาะ
ถ้าได้รับการฝึกสอนที่เหมาะสมอาจพอดูแลตนเองในชีวิต ประจำวันได้และทำงานง่ายๆภายใต้การควบคุมดูแล
|
20-34 | ปัญญาอ่อนมาก |
มีความสามารถเทียบเท่ากับเด็กอายุ 3 ปี
เรียนหนังสือไม่ได้มีความบกพร่องเห็นได้ชัดในพฤติกรรมการปรับตัวและอาจมีพัฒนาการบกพร่องในด้านภาษาการรับรู้
การดำรงชีวิตต้องอยู่ภายใต้การดูแล เช่นเดียวกับเด็กเล็ก
|
ต่ำกว่า 20 | ปัญญาอ่อนมากที่สุด |
มีความสามารถเทียบเท่ากับเด็กอายุ 1-2 ปี
ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ต้องมีผู้ให้การดูแลช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด
|
เชาว์ปัญญากับความสำเร็จ
การที่บุคคลจะประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งด้านการเรียน การประกอบอาชีพต่างๆ นอกจากจะต้องมีเชาว์ปัญญาดีแล้วจะต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นๆด้วยเช่น ความมุมานะพยายาม มีความอดทน มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลทั่วไป และมีคุณธรรม มีสุขภาพจิตดี และมีพื้นฐานทางบุคลิกภาพที่มั่นคง สภาพแวดล้อมที่ช่วยส่งเสริมอย่างเหมาะสม ฯลฯ
ดังนั้นจะเห็นว่าบางคนมีเชาวน์ปัญญาดีแต่อาจจะไม่ประสบผลสำเร็จในชีวิตหรือมีปัญหาการเรียนเนื่องจากขาดองค์ประกอบที่เหมาะสมดังกล่าวข้างต้น เพราะฉะนั้นพ่อแม่จึงไม่ควรมุ่งเน้น ส่งเสริมแต่เฉพาะในเรื่องการเรียนหรือเชาวน์ปัญญาของเด็กเพียงอย่างเดียว แต่ควรควบคุมไปกับการ ส่งเสริมให้เด็กมีทักษะทางสังคม การปรับตัวในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น การมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่น ตลอดจนการอบรมเลี้ยงดู ให้มีพื้นฐานทางบุคลิกภาพที่มั่นคงร่วมด้วยก็จะช่วยให้เขาประสบความสำเร็จตามความสามารถของเชาวน์ปัญญาที่เขามีอยู่
จะเห็นว่าการเติบโตของเชาวน์ปัญญาไม่ได้ขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์เพียงอย่างเดียว สิ่งแวดล้อม วิธีการอบรมเลี้ยงดูโอกาสในการเรียนรู้ตลอดจนภาวะสุขภาพล้วนแล้วแต่มีความสำคัญ ต่อพัฒนาการด้านเชาวน์ปัญญา ซึ่งกล่าวได้ว่า “กรรมพันธุ์กำหนดความสามารถของเชาวน์ปัญญานั้นสามารถแสดงออกมาได้มากน้อยต่างกัน” พ่อแม่จึงไม่ควรมุ่งหวังในบุตรหลานของตนให้มีความสำเร็จเกินกว่าเชาวน์ปัญญาที่เขามีอยู่ เพราะจะทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพจิตได้
แต่ควรสนับสนุนและส่งเสริมให้เขาได้พัฒนาความสามารถที่แท้จริงของเขาอย่างเต็มที่เท่าที่เขาจะสามารถทำได้ ก็จะสามารถทำได้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวของเขาเองและสังคมโดยส่วนรวมและต่อการพัฒนาประเทศชาติต่อไป
ฉะนั้น เชาวน์ปัญญาเปรียบเสมือนทรัพย์อันมีค่ามหาศาล ผู้มีเชาวน์ปัญญาดีหากใช้ให้ ถูกทางก็จะเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและการพัฒนาประเทศชาติ ถึงแม้บุคคลที่มีปัญญาด้วยถ้าได้รับการฝึกสอนให้ถูกวิธีก็สามารถที่จะเลี้ยงตัวเอง และทำประโยชน์ให้สังคมได้เช่นกัน
เครดิต : รพ.รามาธิบดี
เครดิต : รพ.รามาธิบดี